การป้องกันโรคแผลริมอ่อน หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรค
การป้องกัน
หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรค ซึ่งจะเป็นวิธีการป้องกันการเกิดโรคแผลริมอ่อนได้ดีที่สุด
หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลที่อวัยวะเพศ แผลริมอ่อน
หากเป็นแผลที่อวัยวะเพศควรงดการมีเพศสัมพันธ์
หลีกเลี่ยงการเที่ยวกลางคืนหรือการสำส่อนทางเพศ และถ้าจะหลับนอนกับคนที่สงสัยว่าเป็นโรคก็ควรจะสวมถุงยางอนามัยด้วยทุกครั้ง
ควรรักษาความสะอาดของอวัยวะเพศ (ฟอกล้างด้วยสบู่) หลังการมีเพศสัมพันธ์เสมอ (การดื่มน้ำก่อนร่วมเพศและถ่ายปัสสาวะทันทีหลังร่วมเพศ หรือการฟอกสบู่ทันทีหลังร่วมเพศ อาจช่วยลดการติดเชื้อลงได้บ้าง แต่ไม่ใช่ว่าจะได้ผลทุกราย)
การกินยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคภายหลังร่วมเพศอาจได้ผลบ้าง แต่ต้องใช้ยาชนิดและขนาดเดียวกันกับที่ใช้รักษา ซึ่งดูแล้วจะไม่คุ้ม สู้รอให้มีอาการแสดงออกมาแล้วค่อยรักษาไม่ได้
หมั่นออกกำลังกายและรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
การรักษา
เมื่อมีแผลเกิดขึ้นที่อวัยวะเพศหรือมีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ควรรีบไปพบแพทย์ก่อนเสมอเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เพราะแผลที่เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศเกิดได้จากหลายโรค ซึ่งอาจต้องใช้ยารักษาคนละชนิดกัน และถ้าใช้ยาไม่ถูกต้องก็อาจทำให้เชื้อดื้อยาได้
การรักษาทั่วไปและการดูแลตนเองในเบื้องต้น ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวดังนี้เมื่อเป็นโรคนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องรักษาคู่นอนควบคู่ไปด้วยเสมอเพื่อไม่ให้โรคเกิดขึ้นซ้ำอีก
ควรดูแลรักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศอยู่เสมอ
ควรรักษาแผลเฉพาะที่ด้วยการใช้น้ำเกลือชะล้าง (เป็นน้ำเกลือสำหรับใช้ล้างแผล) แล้วเช็ดทำความสะอาดแผลให้แห้งอยู่เสมอ ถ้ามีความชื้นอาจมีโรคแทรก แค่ล้างแผลก็เพียงพอแล้วโดยไม่ต้องใส่ยาอะไรทั้งสิ้น ส่วนยาเพนิซิลลินหรือซัลฟาใส่แผลก็ไม่ควรใช้ เพราะอาจทำให้แพ้ได้ง่าย
รับประทานยาแก้ปวดและยาลดไข้
งดมีเพศสัมพันธ์ในขณะมีแผลจนกว่าแผลจะหายเป็นปกติ
งดการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นสาเหตุทำให้ขาดสติ จึงเพิ่มโอกาสติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกชนิดเพิ่มขึ้น
ภาวะแทรกซ้อน
มีโอกาสติดเชื้อโรคเอดส์ได้ง่ายขึ้น
อาจมีผลพวงจากการเป็นแผลที่มีการติดเชื้อชนิดอื่น ๆ ซ้ำได้ แม้จะรักษาครบแล้ว ทำให้เกิดเป็นรอยแผลเป็น แผลดึงรั้ง บริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ในอนาคตได้
อาจทำให้เป็นแผลดึงรั้งจนเกิดภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตตีบตัน (Phimosis)
ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบแตกเป็นหนองไหลออกมา หากไม่รักษาภายใน 5-8 วันหลังจากเกิดแผล เมื่อแผลหายแล้วอาจทำให้เป็นแผลเป็นได้
แผลอาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียได้
มีทางทะลุ (Fistula) คือมีท่อและมีหนองไหลตลอดเวลาติดต่อระหว่างอวัยวะที่ติดโรคหรือเป็นแผล เช่น ช่องคลอดกับทวารหนัก ท่อปัสสาวะกับผิวหนัง เป็นต้น
ในรายที่เป็นรุนแรง อาจทำให้อวัยวะเพศแหว่งหายได้ หรือที่คนไทยเรียกว่า “โรคฮวบ“
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น